วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์( Java )


ภาษาคอมพิวเตอร์คืออะไร?ทำไมถึงต้องมีมัน?


Image result for โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์
ขอบุณภาพจากhttp://jeminiejetty.blogspot.com/2013/07/blog-post_31.html

ภาษาในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง กริยาอาการที่แสดงออกมาแล้วสามารถทำความเข้าใจกันได้ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์ ส่วนภาษาในความหมายอย่างแคบนั้น หมายถึง เสียงพูดที่มนุษย์ใช้สื่อสารกันเท่านั้น
ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ 

  • ภาษาระดับสูง (high level) หมายถึงภาษาโปรแกรมที่มีภาวะนามธรรมอย่างสูงจากรายละเอียดการทำงานของคอมพิวเตอร์ ใช้งานง่ายกว่า ทำให้กระบวนการพัฒนาโปรแกรมตามข้อกำหนดเรียบง่ายกว่าและสามารถทำความเข้าใจได้ดีกว่า
  • ภาษาระดับต่ำ (low level) หมายถึง ภาษาที่อิงกับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ใดสถาปัตยกรรมหนึ่ง ซึ่งไมโครโพรเซสเซอร์แต่ละรุ่น หรือ แต่ละตระกูล ก็มักมีภาษาระดับต่ำที่แตกต่างกันหนึ่งคำสั่งในภาษาระดับต่ำ จะหมายถึงการสั่งงานคอมพิวเตอร์ให้ทำงานหนึ่งอย่าง (1 instruction = 1 operation)

Java คืออะไร????

ขอบคุณภาพจากhttps://blog.newrelic.com/2014/12/08/10-ways-java-money/
Java เป็นโปรแกรมภาษาที่ถูกพัฒนามาเพื่อรองรับการออกแบบซอฟแวร์ที่มีการเชื่อมโยง Internet เป็นโปรแกรมที่สนับสนุนแนวความคิดของการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือที่เรียกว่า OOP (Object-Oriented Programming) โดยมีความสามารถเฉพาะตัวต่างจากโปรแกรมภาษาชั้นสูง อื่น ๆ เช่น หรือ C++ ในเรื่องของการทำงานข้ามระบบปฏิบัติการ หรือ Platform ได้โดยไม่ต้องมีการ compile ใหม่
ปรแกรมที่ถูกพัฒนาด้วยภาษา Java ถูกแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ

  1.           Java Application – โปรแกรม Java ทั่ว ๆ ไป ที่ทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง (Stand Alone Application)
  2.           Java Applet – โปรแกรม Java ที่ถูกนำไปใช้บน Internet เท่านั้น

Java ถูกพัฒนาในปี 1991 โดยบริษัท Sun Microsystems ที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Green Project ซึ่งเป็นการทำวิจัยสำหรับการพัฒนาซอฟแวร์เพื่อควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ในบ้าน
            กลุ่มนักวิจัยเชื่อว่าผลสำเร็จของการวิจัยนี้จะนำไปสู่การพัฒนาโปรแกรมภาษาที่มีความสามารถ และประสิทธิภาพสูงสุดในได้อนาคต
 โดยเริ่มแรกในการวิจัยพัฒนาโปรแกรมภาษาดังกล่าว C++ ถูกเลือกใช้ให้เป็นภาษาหลักในการพัฒนา เนื่องจากมีความเป็น OOP อยู่แล้วในตัว แต่แล้วกลุ่มนักวิจัยก็พบว่า C++ มีปัญหาและความไม่เหมาะสมต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น เรื่องของหน่วยความจำที่อาจจะมีเพียงน้อยนิด หรือ ไม่มีเลยในกลุ่มของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ไม่พอกับที่ C++ ต้องการ, เรื่องของระบบปฏิบัติการที่ไม่มีในเครื่องใช้เหล่านี้ หรือไม่ว่าจะเป็นความไม่รัดกุมของภาษาเอง ดังนั้นหนึ่งในกลุ่มนักวิจัย James Gosling ได้คิดค้นภาษาใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการพัฒนาครั้งนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีความเป็น OOP, ไม่ขึ้นกับระบบปฏิบัติการ และมีการจัดการเรื่องของหน่วยความจำได้ดี เหมาะสมสำหรับการวิจัยครั้งนี้แล้วให้ชื่อว่า OAK

Do you know…?
ชื่อโปรแกรมภาษา OAK มีที่มาจาก ต้นไม้ที่ Gosling มองออกไปทางหน้าต่างที่ทำงานของเค้า
           
ภายหลังจากการพัฒนาภาษา OAK ได้สำเร็จ บริษัท Sun ได้นำไปใช้กับบริษัทลูกค้าที่ต้องการพัฒนา Interactive TV ซึ่งเป็นการติดตั้งโปรแกรมลงไปที่กล่องสัญญาณ แล้วต่อพ่วงไปยัง TV เพื่อใช้เป็นตัวควบคุม และติดต่อกับผู้ใช้ แต่โครงการนี้ได้ยุบไปก่อนที่จะพัฒนาสำเร็จ OAK จึงไม่ได้เป็นที่แพร่หลาย OAK จึงถูกเก็บเอาไว้ในคลังการวิจัยของ Sun
            ต่อมาไม่นาน เมื่อการ Internet และ HTML มีการพัฒนา และเป็นที่นิยมมากขึ้น Sun จึงเล็งการไกลถึงการพัฒนา Internet Application ก็เลยนำ OAK ขึ้นมาแก้ไขปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็น Java ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ทำไมต้องเลือกใช้ java

  • ทำงานอิสระ (Platform Independent) มีผู้กล่าวไว้ว่า Java เกิดมาเพื่อการทำงานบน WWW นั่นหมายความว่า Browser จะทำการ download โปรแกรมจาวาจาก server มาทำงานบนโดยตรงอยู่บนเครื่องของผู้เรียกเว็บเพ็จได้เลย โดยไม่คำนึงว่า ระบบปฏิบัติการของผู้ใช้ ข้อดีของการ Download โปรแกรมมาใช้งานบนเครื่องของผู้ใช้ก็คือ สามารถลดเวลาในการโหลดโปรแกรมมาจาก server ทุกครั้งที่มีการสั่งการ หรือ Interactive ระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรมจาวา จึงเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับโปรแกรมจาวาบน Internet เป็นอย่างมาก
  • ความง่ายของตัวภาษา Java มีความคล้ายคลึงกับภาษา และ C++ เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับภาษาใหม่อื่น ๆ ที่ต้องมาเริ่มศึกษาไวยากรณ์กันทั้งหมด อีกทั้งยังตัดความยากหรือความซับซ้อนต่าง ๆ ของภาษา C และ C++ ออกไป โดยใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาแทนที่มากขึ้น จึงทำให้การพัฒนาในเรื่องของหน้าจอ (Interface) ไม่ใช่เรื่องที่ยาก
  • ความปลอดภัย (Security) นั่นคือ เมื่อต้องมีการถูก Download ไปใช้อยู่ในที่ต่าง ๆ ภาษาจาวาจึงมีการกำหนดข้อจำกัดบางอย่างขึ้น เพื่อไม่ให้การรันโปรแกรมนั้น ๆ ไปก่อให้เกิดความเสียหายบนเครื่องของผู้ใช้ได้ ดังนั้นจึงสามารถลืมบรรดา Hacker ทั้งหลายที่รักการเขียนโปรแกรมก่อกวนไปได้ในระดับหนึ่ง
  ในปัจจุบันนี้มีโปรเเกรมต่างๆที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างมาากมาย เเต่ล่ะโปรเเกรมนั้นก็มีความสามารถของตัวมันเอง เพราะฉะนั้นควรคำนึงถึงการใช้ด้วย จะได้ไม่ต้องโหลดโปรเเกรมที่ไม่ต้องมามา

ที่มา:
https://www.youtube.com/watch?v=a1LX0bieeSg
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3
http://nwannika.tripod.com/java/Chapter1.htm

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558



Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

 ขอบคุณรูปจาก:kanitthamsu.blogspot.com 
          Social Network คือ เครื่อข่ายสังคมที่เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้  ทำความรู้จักกัน  แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แบ่งปันเรื่องราว รูปภาพ วีดีโอต่างๆ เป็นสังคมที่ทำให้คนที่ไม่ได้อยู่ใกล้กัน และไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน สามารถที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ 
 ประเภทของ Social Network

1. Identity Network (การเผยแพร่ตนเอง)
   ใช้สำหรับการเผยแพร่เรื่องราวส่วนตัวทางอินเตอร์เน็ต
2. Creative Network (การเผยแพร่ผลงาน)
  เป็นแหล่งที่สามารถเผยแพร่ผลงานได้

3. Interested Network (ความสนใจตรงกัน) เป็นการ บุ๊คมาร์ค เว็บที่สนใจไว้บนอินเทอร์เน็ต

     4. Collaboration Network (การใช้ข้อมูล)คือ เป็นการร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์หรือ ส่วนต่างๆของซอฟต์แวร์

5. Gaming/Virtual Reality (โลกเสมือนจริง)  เกมส์ต่างๆ
 Social Network  กับนักเรียน

      ปัจจุบัน Social Network เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มนักเรียนอย่างเราๆที่มีการใช้ติดต่อสื่อสารกันอย่างแพร่หลาย และยังมีบทบาทกับระบบการศึกษาด้วย ผู้สอนจะสามารถประยุกต์ใช้ Social Media กับการศึกษานำมาเป็นช่องทางในการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเครื่องมือที่ทางสำนักเทคโนโลยี เพื่อการเรียนการสอน  แนะนำให้ครูนำไปปรับใช้ 


(ขอบคุณรูปจาก kunlathonstory.blogspot.com )

        1.Facebook คือ เว็บไซต์สำหรับให้ครู และนักเรียนสามารถสื่อสาร และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันได้ 
2.Wordpress คือ เว็บไซต์สำเร็จรูปหรือ บล็อก ที่นักเรียน และครูสามารถสร้าง
บล็อก ส่วนตัว หรือในแต่ละรายวิชา สำหรับเผยแพร่ บทเรียนในแต่ละรายวิชา หรือ สร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนได้
        3.YouTube คือ เว็บไซต์ที่ใช้ในการแบ่งปันไฟล์วิดีโอ ครูสามารถอัพโหลด และเผยแพร่วิดีโอการสอนผ่านเว็บไซต์นี้ได้

4.Twitter คือ เว็บไซต์ที่ใช้ในการสื่อสาร ข้อความสั้นๆ โต้ตอบกันอย่างรวดเร็ว

5.Slideshare คือ เว็บไซต์ที่ใช้ในการแบ่งปันเอกสารต่างๆ

Social Network  กับสังคมไทย
ขอบคุณรูปจาก www.readyplanet.com 
อิทธิพลของ Social network คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยกว่าสองเครื่องเชื่อมต่อกัน โดยใช้สื่อกลางและสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้
เนื่องจากการใช้งานอินเตอร์เนตที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายมากและการใช้งานอีเมล์ในการรับส่งข้อมูลกันอย่างแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการสร้างกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันได้เริ่มมีการ
สร้างเวปไซต์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา

การที่ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้นักเรียนและสังคมไทยมีการใช้  Social Network 
กันอย่างแพร่หลายจนเกิดการสำรวจ 10 อันดับที่ได้รับความนิยม 
0 อันดับ Social Network ที่ได้รับความนิยม

1. MySpace.com                               6. Friendster.com
2. FaceBook.com                              7. SkyRock.com
3. Orkut.com                                     8. PerfSpot.com
4. Hi5.com                                         9. Bebo.com
5. Vkonakte.ru                                  10.Studivz.net 
 

ประโยชน์ของ Social Network
Social Network การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ สื่อสารได้ในวงกว้าง และได้หลายรูปแบบ           เช่น ข้อความ รูปภาพ VDO ด้วยความที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว                 และตลอดเวลา จึงมีการนำมาใช้ในเชิงธุรกิจ ใช้ในการโปรโมทองค์กร สินค้า ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า   ได้ง่ายขึ้น
โทษของ Social Network
 
          ในโลกไซเบอร์ก็เหมือนสังคมรอบข้างตัวเรา ใส่หน้ากากเข้าหากัน เป็นธรรมดาของโลก

1.เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป
2.เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต
3.เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service       เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ได้
4.ข้อมูลที่ต้องการกรอก เพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
(ขอบคุณรูปจาก  www.thaigoodview.com )

 การใช้สื่อ Social Networkในด้านดี หรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้ว่าจะเลือกนำเอาไปใช้ ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและสังคมหรือจะนำไปใช้ให้เกิดโทษกับตนเองและสังคม

 

ก็ต้องใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ หรือพิจารณา คนที่เราคิดว่า
น่าจะเป็นคนดี สักวันหนึ่งอาจจะกลับกลายเป็นคนชั่วไปก็เป็นได้
ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นแน่นอน เพียงแต่เราจะมองโลกในแง่บวก หรือแง่ลบ เท่านั้นเอง เช่นเดียวกับเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอก็เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว และใน Social Network ก็เช่นเดียวกันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย